“ใจที่เร่าร้อนเป็นไฟ เท้าต้องก้าวเดินไป" (เทียบ ลก 24:13-35) ....สารวันแพร่ธรรม ปี 2023....

สาส์นของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส

สำหรับวันอาทิตย์แพร่ธรรมสากล 2023

ใจที่เร่าร้อนเป็นไฟ เท้าต้องก้าวเดินไป (เทียบ ลก 24:13-35)

พี่น้องชายหญิงที่รัก

            สำหรับวันอาทิตย์แพร่ธรรมสากลปีนี้ ข้าพเจ้าได้เลือกหัวข้อที่ได้รับแรงบันดาลใจจากเรื่องศิษย์สองคนที่เดินทางไปหมู่บ้านเอมมาอูส ในพระวรสารของนักบุญลูกา (เทียบ ลก 24:13-35) “หัวใจที่เร่าร้อนเป็นไฟ เท้าต้องก้าวเดินไป” ศิษย์สองคนนั้นกำลังสับสนและท้อใจ แต่การได้พบกับพระคริสตเจ้าด้วยการสนทนาและในการบิขนมปังจุดประกายให้พวกเขาเกิดความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะออกเดินทางกลับไปยังกรุงเยรูซาเล็มอีกครั้ง และประกาศว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับคืนพระชนมชีพอย่างแท้จริง ในการเล่าของพระวรสาร เรารับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงนี้ในตัวศิษย์ทั้งสอง โดยภาพที่ปรากฏให้เห็นสองถึงสามภาพ คือ ใจของพวกเขาเร่าร้อนเป็นไฟอยู่ภายใน เมื่อพวกเขาได้ฟังพระเยซูเจ้าอธิบายพระคัมภีร์ ดวงตาของพวกเขาเปิดออกเมื่อพวกเขาจำพระองค์ได้ และในที่สุดเท้าของพวกเขาก็ออกเดินไปตามทาง จากการรำพึงถึงภาพทั้งสามนี้ซึ่งสะท้อนถึงการเดินทางของบรรดาศิษย์ธรรมทูตทุกคน เราสามารถรื้อฟื้นความกระตือรือร้นของเราเพื่อการประกาศพระวรสารในโลกปัจจุบัน

  1. ใจของเราเร่าร้อนเป็นไฟอยู่ภายใน “เมื่อพระองค์อธิบายพระคัมภีร์ให้เราฟัง” ในกิจกรรมธรรมทูต พระวาจาของพระเจ้าส่องสว่างและเปลี่ยนแปลงหัวใจ

            ระหว่างทางจากกรุงเยรูซาเล็มไปยังหมู่บ้านเอมมาอูส ใจของศิษย์ทั้งสองหดหู่ ซึ่งแสดงให้เห็นได้จากใบหน้าที่เศร้าหมองของพวกเขา เนื่องจากการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูเจ้า ผู้ซึ่งพวกเขามีความเชื่อในพระองค์ (เทียบ ข้อ 17) เมื่อต้องเผชิญกับความล้มเหลวของพระอาจารย์ผู้ถูกตรึงบนไม้กางเขน ความหวังของพวกเขาที่ว่าพระองค์คือพระเมสสิยาห์ก็พังทลายลง (เทียบ ข้อ 21)

            จากนั้น “ขณะที่กำลังสนทนาและถกเถียงกันอยู่นั้น พระเยซูเจ้าเสด็จเข้ามาร่วมเดินทางด้วย” (ข้อ 15) เช่นเดียวกับตอนที่พระองค์ทรงเรียกบรรดาศิษย์ครั้งแรก ดังนั้นในตอนนี้ ท่ามกลางความสับสนของพวกเขา องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงริเริ่ม ทรงเข้ามาหาและร่วมเดินทางกับพวกเขา เช่นเดียวกัน ด้วยพระเมตตาอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ พระองค์ไม่เคยทรงเบื่อหน่ายที่จะอยู่กับเรา แม้ว่าเราจะล้มเหลว มีความสงสัย มีความอ่อนแอ มีความท้อใจ และการมองในแง่ร้ายที่ทำให้เรากลายเป็น “คนเขลาและใจเชื่องช้า” (ข้อ 25) ชายและหญิงที่มีความเชื่อน้อย

ทุกวันนี้องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงกลับคืนพระชนมชีพยังคงอยู่ใกล้ชิดกับบรรดาศิษย์ธรรมทูตของพระองค์และทรงเดินเคียงข้างพวกเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเขารู้สึกสับสน ท้อแท้ หวาดกลัวต่อความเร้นลับของความชั่วร้ายที่อยู่รอบตัวพวกเขาและพยายามที่จะครอบงำพวกเขา ดังนั้น “เราจงอย่ายอมให้ความหวังนี้ถูกขโมยไป” (พระสมณสาส์นเตือนใจ “ความชื่นชนยินดีแห่งพระวรสาร” ข้อ 86) องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงยิ่งใหญ่กว่าปัญหาทั้งปวงของเรา เหนืออื่นใดหากเราพบปัญหาเหล่านี้ในพันธกิจของเราในการประกาศพระวรสารให้กับชาวโลก เพราะท้ายที่สุดแล้ว พันธกิจนี้เป็นของพระองค์ และเราก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าผู้ร่วมงานที่ต่ำต้อยของพระองค์ “ผู้รับใช้ที่ไร้ประโยชน์” (ลก 17:10)

            ข้าพเจ้าปรารถนาจะแสดงความใกล้ชิดในพระคริสตเจ้าต่อบรรดาธรรมทูตชายหญิงในโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่อดทนต่อความยากลำบากทุกประเภท เพื่อนที่รัก องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงกลับคืนพระชนมชีพอยู่กับท่านเสมอ พระองค์ทรงเห็นถึงความใจกว้างและความเสียสละของท่านที่ท่านได้กระทำเพื่อพันธกิจแห่งการประกาศพระวรสารในดินแดนที่อยู่ห่างไกล ไม่ใช่ทุกวันในชีวิตของเราจะเงียบสงบและปลอดโปร่ง แต่ขอให้เราอย่าลืมพระวาจาของพระเยซูเจ้า องค์พระผู้เป็นเจ้าที่ตรัสกับเพื่อนๆของพระองค์ก่อนจะทรงรับทรมานว่า “ในโลกนี้  ท่านจะมีความทุกข์ยาก แต่อย่าท้อแท้ เราชนะโลกแล้ว” (ยน 16:33)

            ศิษย์สองคนที่กำลังเดินทางไปหมู่บ้านเอมมาอูสหลังจากได้ฟังพระเยซูเจ้า ผู้ทรงกลับคืนพระชนมชีพ “ทรงอธิบายพระคัมภีร์ทุกข้อที่กล่าวถึงพระองค์ให้เขาฟัง โดยเริ่มตั้งแต่โมเสสจนถึงบรรดาประกาศก”  (ลก 24:27) ใจของศิษย์ทั้งสองตื่นเต้น เมื่อพวกเขาปรับทุกข์กันในภายหลัง “ใจของเราไม่ได้เร่าร้อนเป็นไฟอยู่ภายในหรือ เมื่อพระองค์ตรัสกับเราขณะเดินทาง และอธิบายพระคัมภีร์ให้เราฟัง?” (ข้อ 32) พระเยซูเจ้าเองคือพระวาจาทรงชีวิต ทรงเป็นผู้เดียวที่จะทำให้ใจของเราเร่าร้อนอยู่ภายใน ดังที่พระองค์ทรงให้ความกระจ่างและเปลี่ยนแปลงพวกเขา

            ด้วยวิธีนี้เราสามารถเข้าใจคำกล่าวของนักบุญเยโรมได้ดีขึ้นว่า “การไม่รู้พระคัมภีร์คือการไม่รู้จักพระคริสตเจ้า” (จากบทนำหนังสืออรรถาธิบายหนังสือประกาศกอิสยาห์) “หากปราศจากการแนะนำจากองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะเข้าใจพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์อย่างลึกซึ้ง และในทางกลับกันก็เป็นความจริงที่คล้ายกันคือ หากปราศจากพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ เหตุการณ์ต่างๆ เกี่ยวกับพันธกิจของพระเยซูเจ้าและพระศาสนจักรของพระองค์ในโลกนี้ก็ยังคงเป็นสิ่งที่ไม่สามารถเข้าใจได้” (พระสมณลิขิต “พระองค์ทรงเปิดใจพวกเขา” ข้อ 1) ด้วยเหตุนี้ความรู้ในพระคัมภีร์มีความสำคัญต่อชีวิตคริสตชน และการประกาศสอนพระคริสตเจ้าและข่าวดีของพระองค์สำคัญยิ่งกว่าอีก มิฉะนั้นแล้วท่านจะส่งต่ออะไรให้กับผู้อื่นหากไม่ใช่ความคิดและโครงการของท่านเอง? ใจที่เย็นชาไม่สามารถทำให้ใจของผู้อื่นเร่าร้อนได้

            ดังนั้นขอให้เราเต็มใจเสมอที่จะให้ตัวเราเองร่วมทางกับองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงกลับคืนพระชนมชีพในขณะที่พระองค์ทรงอธิบายความหมายของพระคัมภีร์ให้เราฟัง ขอพระองค์ทรงทำให้ใจของเราเร่าร้อนอยู่ภายใน ขอให้พระองค์ให้ความกระจ่างและเปลี่ยนแปลงเรา เพื่อที่เราจะได้ประกาศธรรมล้ำลึกแห่งการช่วยให้รอดพ้นของพระองค์ให้แก่โลกด้วยอำนาจและปรีชาญาณที่มาจากพระจิตของพระองค์

  1. ดวงตาของเรา “เปิดออก และจำพระองค์ได้” เมื่อทรงบิขนมปัง พระเยซูเจ้าในศีลมหาสนิทคือบ่อเกิดและจุดสูงสุดของงานธรรมทูต

            ความจริงที่ว่าใจของพวกเขาเร่าร้อนเพราะพระวาจาของพระเจ้า ทำให้ศิษย์ที่ไปเอมมาอูสขอให้ผู้เดินทางที่ลึกลับพักอยู่กับพวกเขาเมื่อใกล้ค่ำแล้ว เมื่อพวกเขามารวมกันที่โต๊ะ เขาก็ตาสว่างและจำพระองค์ได้เมื่อพระองค์ทรงบิขนมปัง องค์ประกอบที่แน่ชัดซึ่งเปิดตาของบรรดาศิษย์คือลำดับเหตุการณ์ที่พระเยซูเจ้าทรงกระทำ ทรงหยิบขนมปัง ทรงถวายพระพร ทรงบิขนมปังและยื่นให้เขา สิ่งเหล่านี้เป็นท่าทางตามปกติของหัวหน้าครอบครัวชาวยิว แต่พระเยซูคริสตเจ้าทรงกระทำด้วยพระหรรษทานของพระจิตเจ้า ได้รับการรื้อฟื้นให้กับผู้ร่วมโต๊ะสองคนของพระองค์ ด้วยเครื่องหมายของการทวีจำนวนขนมปังและเหนือสิ่งอื่นใดคือศีลมหาสนิท ศีลศักดิ์สิทธิ์แห่งการถวายบูชาบนไม้กางเขน แต่ในชั่วขณะที่พวกเขาจำพระเยซูเจ้าได้ขณะที่ทรงบิขนมปังนั้น “พระองค์หายไปจากสายตาของเขา” (ลก.24:31) ที่นี่เราสามารถรับรู้ความเป็นจริงที่สำคัญของความเชื่อของเรา พระคริสตเจ้า ผู้ทรงบิขนมปัง บัดนี้ทรงกลายเป็นขนมปังที่ถูกบิออก ถูกแบ่งปันให้กับบรรดาศิษย์และถูกพวกเขากลืนกิน ไม่มีใครเห็นพระองค์อีกต่อไป เพราะตอนนี้พระองค์ได้เข้าไปอยู่ในหัวใจของบรรดาศิษย์ ทำให้พวกเขาเร่าร้อนยิ่งขึ้น และสิ่งนี้กระตุ้นพวกเขาให้ออกเดินทางทันทีเพื่อแบ่งปันประสบการณ์พิเศษในการพบปะกับองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงกลับคืนพระชนมชีพให้กับทุกคน ดังนั้น พระคริสตเจ้าผู้ทรงกลับคืนพระชนมชีพจึงเป็นทั้งผู้บิขนมปังและในขณะเดียวกันก็ทรงเป็นปังที่ถูกบิออกเพื่อเรา สิ่งที่ตามมาคือ บรรดาศิษย์ธรรมทูตทุกคนได้รับเรียกให้เป็นเหมือนกับพระเยซูเจ้าและอยู่ในพระองค์ โดยผ่านทางการทำงานของพระจิตเจ้า เป็นผู้บิขนมปังและเป็นปังที่ถูกบิเพื่อโลก

            ณ ที่นี้ ควรจำไว้ว่าการบิขนมปังที่เป็นวัตถุของเราให้กับผู้หิวโหยในพระนามของพระคริสตเจ้านั้นเป็นงานที่เป็นพันธกิจของคริสตชนอยู่แล้ว ยิ่งกว่านั้นการบิขนมปังแห่งศีลมหาสนิท ซึ่งก็คือองค์พระคริสตเจ้าเอง เป็นงานที่เป็นพันธกิจที่เหนือกว่า เนื่องจากศีลมหาสนิทเป็นบ่อเกิดและจุดสูงสุดของชีวิตและพันธกิจของพระศาสนจักร

            ดังที่สมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16 ทรงชี้ให้เห็นว่า “เราไม่สามารถเก็บความรักที่เราเฉลิมฉลองในศีลศักดิ์สิทธิ์(แห่งศีลมหาสนิท)ไว้เพียงผู้เดียวได้ โดยธรรมชาติของศีลศักดิ์สิทธิ์แล้ว จะร้องขอให้ถ่ายทอดออกไปให้กับทุกคน สิ่งที่โลกต้องการคือความรักของพระเจ้า การพบปะกับพระคริสตเจ้าและเชื่อในพระองค์ ด้วยเหตุนี้ ศีลมหาสนิทไม่เพียงแค่เป็นบ่อเกิดและจุดสูงสุดของชีวิตและพันธกิจของพระศาสนจักรเท่านั้น แต่ยังเป็นเป็นบ่อเกิดและจุดสูงสุดของงานธรรมทูตของพระศาสนจักรด้วย ‘พระศาสนจักรแห่งศีลมหาสนิทที่แท้จริงคือพระศาสนจักรที่เป็นธรรมทูต’ ” (พระดำรัสเตือน “ศีลมหาสนิท ศีลแห่งความรัก” ข้อ 84)

เพื่อให้บังเกิดผลเราต้องคงอยู่ในความเป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูเจ้า (เทียบ ยน 15:4-9) การอยู่ร่วมกับพระองค์นี้สำเร็จได้ด้วยการภาวนาทุกวัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการนมัสการศีลมหาสนิท ขณะที่เราอยู่ในความเงียบต่อหน้าพระเจ้า ผู้ทรงยังคงประทับอยู่กับเราในศีลมหาสนิท ด้วยการปลูกฝังความเป็นหนึ่งเดียวกับพระคริสตเจ้าด้วยความรัก ศิษย์ธรรมทูตสามารถกลายเป็นผู้มีประสบการณ์กับพระเจ้าโดยตรงในการปฏิบัติ ขอให้ใจของเราปรารถนาการอยู่ร่วมกับพระเยซูเจ้าเสมอ สะท้อนคำวอนขออันแรงกล้าของศิษย์สองคนที่เอมมาอูส โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลาเย็น “ข้าแต่พระเจ้า โปรดพักอยู่กับพวกเราเถิด” (เทียบ ลก 24: 29)

  1. เท้าของเราก้าวไปตามทางด้วยความยินดีที่ได้บอกผู้อื่นเกี่ยวกับพระคริสตเจ้าผู้ทรงกลับคืนพระชนมชีพ ความเยาว์วัยนิรันดรของพระศาสนจักรก้าวเดินออกไปเสมอ

หลังจากที่พวกเขาตาสว่างและจำพระเยซูเจ้าได้ “ในขณะที่ทรงบิขนมปัง” ศิษย์ทั้งสอง “จึงรีบออกเดินทางกลับไปกรุงเยรูซาเล็ม” (เทียบ ลก 24:33) การรีบเร่งที่จะแบ่งปันความชื่นชมยินดีในการพบปะกับองค์พระผู้เป็นเจ้ากับผู้อื่น แสดงให้เห็นว่า “ความชื่นชมยินดีแห่งพระวรสารเติมเต็มจิตใจและชีวิตทั้งชีวิตของบรรดาผู้ที่พบพระเยซูเจ้า บรรดาผู้ที่ยอมให้พระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดพ้น ย่อมเป็นอิสระจากบาป ความโศกเศร้า ความว่างเปล่าภายในจิตใจ และความโดดเดี่ยว ความชื่นชมยินดีนี้บังเกิดขึ้น และเกิดขึ้นใหม่เสมอพร้อมกับพระเยซูเจ้า”(พระสมณสาส์นเตือนใจ “ความชื่นชมยินดีแห่งพระวรสาร” ข้อ 1) เราไม่สามารถพบปะกับพระเยซูเจ้าผู้ทรงกลับคืนพระชนมชีพได้อย่างแท้จริงหากมิได้จุดไฟแห่งความกระตือรือร้นที่จะบอกทุกคนเกี่ยวกับพระองค์ ดังนั้นวิธีการอันดับแรกและสำคัญของงานธรรมทูตคือบุคคลเหล่านั้นที่ได้รู้จักพระคริสตเจ้าผู้ทรงกลับคืนพระชนมชีพในพระคัมภีร์และในศีลมหาสนิท ผู้ซึ่งมีไฟอยู่ในหัวใจของพวกเขาและความสว่างของพระองค์ที่พวกเขาจ้องมอง พวกเขาสามารถเป็นประจักษ์พยานถึงชีวิตที่ไม่มีวันตาย แม้ในสถานการณ์ที่ยากลำบากที่สุด และในช่วงเวลาที่มืดมนที่สุด

            ภาพของ “การก้าวเท้าออกไป”  เตือนเราอีกครั้งถึงความถูกต้องตลอดกาลของงานธรรมทูตสู่นานาชาติ เป็นพันธกิจที่องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงกลับคืนพระชนมชีพได้ทรงมอบหมายให้กับพระศาสนจักรในการประกาศข่าวดีแก่ปัจเจกบุคคลและมนุษย์ทุกคนจนถึงสุดปลายแผ่นดิน ทุกวันนี้ครอบครัวมนุษย์ของเราซึ่งได้รับบาดแผลมากกว่าที่เคย จากสถานการณ์ความอยุติธรรมมากมาย จากความแตกแยกและสงครามมากมาย จึงต้องการข่าวดีแห่งสันติและการช่วยให้รอดพ้นของพระคริสตเจ้า ข้าพเจ้าขอใช้โอกาสนี้ย้ำว่า “ทุกคนมีสิทธิได้รับพระวรสาร บรรดาคริสตชนมีหน้าที่ประกาศพระวรสาร โดยไม่ยกเว้นผู้ใดเลย คริสตชนมิใช่ผู้ที่ให้กฎเกณฑ์ข้อบังคับใหม่ แต่เป็นผู้แบ่งปันความชื่นชมยินดี ชี้ให้เห็นขอบฟ้าที่งดงาม และเสนองานเลี้ยงที่น่าปรารถนา” (พระสมณสาส์นเตือนใจ “ความชื่นชมยินดีแห่งพระวรสาร” ข้อ 14) การกลับใจทางธรรมทูตยังคงเป็นเป้าหมายหลักที่เราต้องตั้งขึ้นเพื่อพวกเราเองทั้งในฐานะปัจเจกบุคคลและในฐานะชุมชน เพราะ “กิจการธรรมทูตเป็นกระบวนทัศน์พันธกิจทุกประการของพระศาสนจักร” (พระสมณสาส์นเตือนใจ “ความชื่นชมยินดีแห่งพระวรสาร”  ข้อ 15)

            ดังที่นักบุญเปาโลอัครสาวกยืนยันว่า ความรักของพระคริสตเจ้าดึงดูดและผลักดันเรา (เทียบ 2 คร 5:14) ความรักนี้มีสองด้าน คือ ความรักของพระคริสตเจ้าที่มีต่อเรา ซึ่งเรียกร้อง สร้างแรงบันดาลใจ และกระตุ้นความรักของเราที่มีต่อพระองค์ และความรักที่ทำให้พระศาสนจักรสร้างสิ่งใหม่อยู่เสมอ อ่อนเยาว์อยู่เสมอ เพราะสมาชิกทุกคนของพระศาสนจักรได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่ประกาศข่าวดีของพระคริสตเจ้า ด้วยความเชื่อมั่นว่า “พระองค์สิ้นพระชนม์แทนทุกคน เพื่อผู้ที่มีชีวิตจะได้ไม่มีชีวิตเพื่อตนเองอีกต่อไป แต่มีชีวิตเพื่อพระองค์ผู้ได้สิ้นพระชนม์ และทรงกลับคืนพระชนมชีพเพื่อเขา” (2 คร 5:15) เราทุกคนสามารถมีส่วนร่วมในกระบวนการธรรมทูตนี้ ด้วยการภาวนาและด้วยกิจกรรมของเรา ด้วยการถวายวัตถุปัจจัย ด้วยการมอบถวายความทุกข์ยากของเรา และการเป็นประจักษ์พยานส่วนบุคคลของเรา องค์กรสนับสนุนงานแพร่ธรรมของสันตะสำนัก เป็นเครื่องมือพิเศษในการส่งเสริมความร่วมมือในงานธรรมทูตนี้ ทั้งในระดับฝ่ายจิตและในด้านวัตถุ ด้วยเหตุนี้ การเรี่ยไรเงินในวันอาทิตย์แพร่ธรรมสากลจึงมอบให้กับสมณองค์กรเพื่อการเผยแพร่ความเชื่อ

            ความเร่งด่วนของกิจกรรมธรรมทูตของพระศาสนจักรโดยธรรมชาตินั้นเรียกร้องให้มีความร่วมมือด้านธรรมทูตอย่างใกล้ชิดยิ่งขึ้นในส่วนของสมาชิกทุกคนและทุกระดับของพระศาสนจักร นี่เป็นเป้าหมายสำคัญของการก้าวเดินของซีนอดซึ่งพระศาสนจักรได้ดำเนินการ ภายใต้คำที่เป็นแก่นสำคัญคือ การเป็นหนึ่งเดียวกัน การมีส่วนร่วม และการทำพันธกิจ การก้าวเดินนี้ไม่ใช่การหันเข้าหาตัวเองของพระศาสนจักรอย่างแน่นอน ไม่ใช่การลงประชามติเกี่ยวกับสิ่งที่เราควรเชื่อและปฏิบัติ หรือเป็นเรื่องของความพึงพอใจของมนุษย์ แต่เป็นกระบวนการการออกเดินทาง เฉกเช่นเดียวกับศิษย์ที่เอมมาอูส ฟังองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงกลับคืนพระชนมชีพ เพราะพระองค์ประทับอยู่ท่ามกลางเราเสมอเพื่ออธิบายความหมายของพระคัมภีร์และทรงบิปังเพื่อเรา เพื่อว่าด้วยพระอานุภาพของพระจิตเจ้าเราจะสามารถปฏิบัติพันธกิจของพระองค์ในโลกนี้

            เช่นเดียวกับศิษย์สองคนที่เอมมาอูสได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นตามทางให้คนอื่นๆ ฟัง (เทียบ ลก 24:35) ดังนั้น การประกาศของเราก็เช่นกันจะเป็นการบอกเล่าด้วยความชื่นชมยินดีถึงพระคริสตเจ้า องค์พระผู้เป็นเจ้า ถึงชีวิต พันธกิจ การสิ้นพระชนม์และการกลับคืนพระชนมชีพของพระองค์ และสิ่งมหัศจรรย์ที่ความรักของพระองค์ได้บรรลุผลสำเร็จในชีวิตของเรา

            ดังนั้นขอให้เราออกเดินทางอีกครั้ง ได้รับการส่องสว่างจากการพบปะกับองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงกลับคืนพระชนมชีพ และได้รับการกระตุ้นจากพระจิตของพระองค์ ให้เราออกเดินทางอีกครั้งด้วยใจที่เร่าร้อน เปิดตาและขยับเท้าของเรา ให้เราออกเดินทางเพื่อทำให้หัวใจดวงอื่นเร่าร้อนด้วยพระวาจาของพระเจ้า เปิดตาของผู้อื่นให้มองเห็นพระเยซูเจ้าในศีลมหาสนิท และเชื้อเชิญทุกคนให้ก้าวเดินไปด้วยกันบนเส้นทางแห่งสันติและการช่วยให้รอดพ้นที่พระเจ้าทรงประทานให้มวลมนุษยชาติในองค์พระคริสตเจ้า

            พระแม่แห่งหนทาง มารดาของบรรดาศิษย์ธรรมทูตของพระคริสตเจ้า และราชินีแห่งงานธรรมทูต โปรดภาวนาเพื่อเราด้วยเถิด

 

ณ กรุงโรม มหาวิหารนักบุญยอห์น ลาเตรัน

วันที่ 6 มกราคม 2023

สมโภชพระคริสตเจ้าแสดงองค์

ฟรังซิส

LINKS

www.ppoomm.v

http://www.catholicmission.org.au/http://www.missionsocieties.ca/www.pms-phil.orgwww.missio.org.mthttp://www.obrasmisionalespontificias.es/คณะธรรมทูตไทย

สถิติการเยี่ยมชม

14533879
Today
Yesterday
This Week
This Month
All days
1034
1240
4242
10474
14533879
Your IP: 3.142.197.212
2024-04-27 20:08